Saturday, February 6, 2016

7 เคล็ดลับในการสร้าง ecommerce ของคุณระหว่างทำงานประจำ

บทความนี้ไม่ได้กำลังบอกให้คุณเอาเวลาทำงานประจำ มาสร้างธุรกิจ ecommerce นะครับ ไม่อย่างนั้นแล้วจะกลายเป็น ecommerce แบบ Full-Time ทั้งๆ ที่ยังไม่พร้อมแน่ๆ เลย แต่กำลังจะพูดถึงการใช้เวลาที่มีอยู่ของคุณอย่างมีประสิทธิภาพที่สุดโดยไม่รบกวนงานประจำ และหลายๆ ท่านที่ยังทำงานประจำอยู่ ต่างก็อยากมีรายได้เพิ่มจากงานเดิมทั้งนั้น ซึ่งธุรกิจ ecommerce นั้นสร้างง่าย ลงทุนต่ำ ใช้เวลาน้อย ทำที่ไหนก็ได้ นี่แหละครับที่ตอบโจทย์ ทุกวันนี้มีคนที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้อย่างมากมายโดยทีไม่จำเป็นต้องทิ้งงานประจำ เขาทำกันได้อย่างไร? วันนี้ผมนำเคล็ดลับทั้ง 7 ข้อที่จะทำให้คุณได้ทราบว่า คุณจะสร้างธุรกิจ ecommerce ในโลกออนไลน์ ในขณะที่คุณยังทำงานประจำอยู่ได้อย่างไร


1.      Focus
สิ่งที่สำคัญในการสร้างธุรกิจ ecommerce ระหว่างที่ยังทำงานประจำอยู่ก็คือการ Focus ในสิ่งที่จะขายนั่นเอง เพราะไหนจะเวลา ต้นทุน หรือแม้กระทั่งเรี่ยวแรงในการทำงาน ต่างก็ถูกจำกัด มีผู้คนจำนวนมากมีแนวคิดมากมายที่จะทำหรือขายสินค้าทั้งหมวดหมู่ของสินค้า แทนที่จะขายอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียวไปก่อน หากไม่เช่นนั้นแล้วกลยุทธ์ เคล็ดลับ เครื่องมือ หรือวิธีการต่างๆ ที่มีอยู่เต็มไปหมดในโลกออนไลน์ คุณไม่มีเวลาที่จะเรียนรู้มันได้ทั้งหมดหรอกครับ คุณควรที่จะ Focus ในการค้นหาสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เหมาะสมกับตัวคุณและธุรกิจของคุณเป็นพิเศษเพียงอย่างเดียวให้เชี่ยวชาญไปเลย

2.      เข้าใจและอดทน
ในข้อนี้คุณต้องทำความเข้าใจก่อนว่า คุณต้องเข้าใจและอดทนอย่างมากว่าความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นเพียงข้ามคืน ถ้าหากคุณจะเริ่มต้นด้วยงานที่ใหญ่และยากในขณะที่คุณยังทำงานประจำอยู่ แน่นอนว่าคุณไม่ได้มีเวลามากพอเหมือนคนที่ออกมาทำ ecommerce แบบ Full-Time แต่มันก็ไม่เลวร้ายอะไรนักถ้าคุณจะเริ่มต้นทำทันทีและตั้งใจทำทีละนิดจากการแบ่งเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน ศึกษา ทำความเข้าใจ ออกแบบ และสร้างเว็บไซต์ของคุณ อย่างที่คุณต้องการในเวลาเพียงไม่กี่วัน โดยที่คุณไม่ต้องเร่งรีบหรือรู้สึกกดดันในเวลาอันน้อยนิดที่มีของคุณเลย

3.      ทำตารางเวลา
เพราะเวลาของคุณมีจำกัด คุณจึงต้องแบ่งเวลาให้งานๆ นี้ของคุณอย่างเคร่งครัด คุณไม่เพียงต้องรู้ว่าวันไหนที่คุณต้องทำอะไรเท่านั้น แต่คุณควรต้องรู้ว่าต้องทำมันตอนไหนถึงตอนไหนด้วย มีเครื่องมือมากมายที่จะช่วยคุณเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ได้ครับ เช่น Google Calendar  และหากคุณมีตารางงานส่วนตัวของคุณอยู่แล้ว คุณควรทำตารางงานสำหรับธุรกิจ ecommerce ของคุณแยกต่างหาก โดยคุณเองอาจแบ่งเวลาหรือจัดลำดับความสำคัญต่างๆ ได้ด้วยตัวคุณเอง แต่คุณต้องเคร่งครัดเมื่อถึงเวลาทำงานในส่วน ecommerce ของคุณด้วย เพื่อความสำเร็จของคุณเองครับ

4.      ลงทุนกับเวลา
พูดง่ายๆ สมมติว่าคุณใช้เวลา 30 นาทีไปกับการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งในแต่ละสัปดาห์ เช่น เช็คและตอบอีเมล์ลูกค้าของคุณ และจะดีกว่าหรือเปล่าครับ ถ้าคุณสามารถย่นเวลาจาก 30 นาทีต่อสัปดาห์ เหลือเพียงแค่ 15 นาทีต่อสัปดาห์เท่านั้น เพียงแต่ว่าวันนี้คุณต้องลงทุนกับเวลาไป 4 ชั่วโมง ยกตัวอย่างง่ายๆ ในวันนี้คุณใช้เวลา 4 ชั่วโมงไปกับการ สร้างหน้าคำถามที่พบบ่อย (FAQ หรือ Frequently Asked Questions) ในเว็บไซต์ของคุณ เพื่อลดจำนวนคำถามที่จะเข้ามาและประหยัดเวลาในการตอบคำถามของคุณไปอีก 15 นาที ยังไงล่ะครับ คุณสามารถทำมันได้ใช่หรือเปล่าครับ

5.      หยุดทำสิ่งที่ไม่จำเป็น
คุณไม่เคยมีข้ออ้างว่า “ฉันไม่มีเวลา” กับการดูละครหลังข่าว หรือการออกไปสังสรรค์กับเพื่อนในวันสุดสัปดาห์ใช่ไหมครับ มันเป็นการดีที่คุณควรจะ Relax ตัวเองจากความเหนื่อยล้าในการทำงานประจำบ้าง แต่ถ้าสิ่งที่คุณต้องการความสำเร็จในธุรกิจ ecommerce ของคุณ คุณควรหยุดสิ่งที่ไม่จำเป็นกับความสำเร็จของคุณ จริงอยู่ว่ามันอาจจะสนุกกับการตั้งชื่อเว็บและออกแบบ Logo เว็บไซต์ของคุณให้มันอลังการ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้สำคัญเท่ากับการใส่ใจใน Content หรือเนื้อหาของเว็บไซต์ คุณควร Focus กับสิ่งที่จำเป็นเวลาของคุณมีจำกัด อย่าเสียเวลาแม้เพียงเล็กน้อยไปกับสิ่งไม่จำเป็นเลยครับ

6.      Outsource
แทนที่คุณจะต้องใช้เวลาอันมีค่าของคุณทำทุกอย่างเองทั้งหมด ทั้งตอบอีเมล์ ตอบแชท รับออร์เดอร์ แพ็คของ จัดส่ง เวลาของคุณมีมากพอขนาดนั้นหรือเปล่าในการเริ่มธุรกิจ ecommerce ก็คล้ายๆ กับที่คุณลงทุนกับเวลาไปจำนวนหนึ่ง เพื่อทำให้คุณได้เวลาที่มากขึ้นกับการทำกิจกรรม ecommerce ของคุณในวันต่อๆ ไป มันจะดีกว่ามากหากกิจกรรมบางกิจกรรมที่คุณอาจไม่จำเป็นต้องทำเอง ลองมองหาผู้ที่คุณสามารถจะจ้างให้ทำงานบางอย่างแทนคุณได้ เช่น จ้างนักเขียนบทความมาอัพเดท Content ในหน้าเว็บหรือแฟนเพจ จ้างคนโปรโมท หรือแม้กระทั่งรับออร์เดอร์แล้วแพ็คสินค้าส่งแทนคุณ

7.      ทำสิ่งต่างๆ ให้เป็นอัตโนมัติมากที่สุด
มีเครื่องมือ อุปกรณ์มากมายที่จะทำงานแทนคุณเพื่อชดเชยเวลาอันมีค่าของคุณในการทำธุรกิจ ecommerce ครับ ทำสิ่งต่างๆ ให้เป็นอัตโนมัติมากที่สุด เช่น ใช้การตั้งเวลาโพสต์บทความ Content หรือเนื้อหาลงใน Social Media ต่างๆ ของคุณ ไม่ว่าจะเป็น facebook, Twitter, Instagram, Pinterest หรือแม้กระทั่งส่งอีเมล์แทนคุณ ทำให้คุณใช้เวลาในวันหยุดสุดสัปดาห์เพื่อทำ Content ทั้งหมดของทั้งสัปดาห์ แล้วให้มันอัพเดท Content ต่างๆ แทนคุณตามเวลาที่คุณกำหนด เพียงเท่านี้ก็ทำให้คุณมีเวลาเพิ่มอีกมากที่จะทำธุรกิจ ecommerce ของคุณในด้านอื่นๆ ได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


ในความคิดของผม การทำธุรกิจ ecommerce ระหว่างที่ยังทำงานประจำอยู่ ก็ไม่ได้ง่าย และคุณยังต้องต่อสู้กับเวลาอีกด้วย แต่เชื่อเถอะครับ งานของการเป็นผู้ประกอบการเองเป็นงานที่ยากที่สุดในโลกก็จริง แต่ในขณะเดียวกันก็มีอิสระทางความคิดมากที่สุดเช่นกัน คุณควรทำงานให้เต็มที่อย่างมีแรงบันดาลใจ และทบทวนตัวคุณเองถึงสิ่งที่ต้องทำในทุกๆวัน ว่าทำไมคุณต้องทำ และคุณกำลังทำอะไร และถ้าสิ่งเหล่านี้สำคุณกับตัวคุณจริงๆ คุณก็จะสามารถหาเวลาหรือช่องทางในการสร้างธุรกิจ ecommerce ของคุณให้เติบโต จนกระทั่งถึงวันที่คุณมีอิสระเต็มตัวทั้งเรื่องเงินและเวลาในการทำงานครับ

                 Runhigh Articles

Tuesday, January 26, 2016

5 วิธีดูแลสุขภาพของคนอ้วน ที่ทำได้ทันที!

เมื่อเรามาถึงยุคที่คนเราหันมาดูแลสุขภาพตัวเองมากขึ้น ทั้งเรื่องความสวยความงาม รูปร่าง อาหารการกิน และสุขภาพในด้านต่างๆ แต่จากข้อมูลและการสังเกตพบว่า มีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่ยังละเลยการดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพในด้านต่างๆ หรือ ด้านอาหารการกิน ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดๆ เช่น ไม่มีเวลา งานยุ่ง อะไรก็แล้วแต่ ล้วนเป็นผลทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยนี้ น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นแถมยังสุขภาพไม่ดีอีกด้วย แต่วันนี้ผมไม่ได้มาแนะแนววิธีการลดความอ้วนเลยซะทีเดียว แต่ผมได้รวบรวม 5 วิธีดูแลสุขภาพของคนอ้วนที่ทำได้ทันที ไม่เปลืองเวลา และยังทำได้ง่ายอีกด้วย
695581
  1. ทำกิจกรรมต่างๆ ให้เร็วขึ้น และมากขึ้น
หากคุณไม่ได้มีเวลามากพอที่จะเข้าฟิตเนส อย่าห่วงไปเลยครับ กิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันของคุณนั่นแหละครับ เวลาลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ ทานข้าว หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ จากที่เคยเดินอืดอาดค่อยๆก้าว ลองเปลี่ยนเป็นเดินให้ไวขึ้น ไม่ต้องกลัวโดนล้อว่ารีบไปตามอะไรที่ไหนหรอกครับ สุขภาพของเราเอง คุณจะสังเกตได้เลยว่า เราจะรู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้น หรือ จะเปลี่ยนจากการขึ้นลิฟต์เป็นการเดินขึ้นบันไดแทน ไม่ต้องแค่ชั้นเดียวหรอกครับ 3 ชั้นก็เดินไปได้เลยไม่ต้องกลัวเหนื่อยครับ นอกจากจะรู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้นแล้ว หัวใจและร่างกายส่วนอื่นๆ ก็ยังจะทำงานได้ดีขึ้นด้วย หากทำต่อเนื่องได้ถึงหนึ่งสัปดาห์ จะเห็นผลเลยว่าร่างกายของเราจะทำอะไรก็คล่องขึ้นอีกด้วย
  1. ดื่มน้ำมากๆ
หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าการดื่มน้ำดีต่อการดูแลสุขภาพให้ดีได้อย่างไร ถึงกระนั้นวันนี้ผมก็ยังจะมาย้ำให้ฟังชัดๆ อีกนอกจากน้ำจะช่วยดับกระหายแล้ว สำหรับคนอ้วนน้ำยังช่วยลดการอยากอาหาร ทำให้การย่อยของกระเพาะอาหารดีขึ้น ช่วยขับล้างสารพิษ กระตุ้นการขับถ่าย และยังทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งอีกด้วย การดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมนั้นจะยิ่งทำให้สุขภาพดีขึ้นได้อีก สำหรับผู้ชายควรดื่มให้ได้อย่างน้อย 3 ลิตรขึ้นไป และสำหรับผู้หญิง 2 ลิตรครึ่ง การดื่มมากกว่านี้ก็ขึ้นอยู่กับกิจกรรมประจำวัน ที่อาจต้องสูญเสียน้ำ ส่วนหลายๆ คนอาจกังวล (ผมเคยได้ยิน) ว่า การดื่มน้ำมากๆ จะทำให้บวมน้ำหรือเปล่า ผมขอตอบเลยนะครับว่าไม่จริง แต่กลับกัน อาการบวมน้ำเกิดจากการดื่มน้ำที่ไม่เพียงพอต่างหาก ดื่มน้ำเยอะๆ เถอะครับ หายห่วงได้เลย
  1. แกว่งแขน / เดินเร็ว
การแกว่งแขนนั้นเป็นกิจกรรมที่ทำได้ง่ายมากๆ และมีข้อดีหลายประการ เช่น ทำให้เลือดลมไหลเวียนสะดวก ลดความดันโลหิตสูง ลดอาการปวดต่างๆ ระบบน้ำเหลืองดีขึ้น การแกว่งแขนที่ถูกวิธีติดต่อกัน 10 นาทีขึ้นไป จะช่วยลดการสะสมของไขมัน ลดน้ำตาลในเลือดอีกด้วย  ส่วนการเดินเร็วนั้นช่วยให้การทำงานของหัวใจและปอดดีขึ้น เสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อ และในคนอ้วนการเดินเร็วติดต่อกันหนึ่งชั่วโมง สามารถช่วยในการลดน้ำหนักได้ เพราะจะทำให้การเผาผลาญพลังงานในร่างกายดีขึ้น แม้หลังการเดินเสร็จแล้วก็ตาม การเดินนั้นง่ายเพียงแค่เปลี่ยนกิจกรรมบางอย่างที่จะต้องนั่งรถ หรือบันไดเลื่อนในห้าง เปลี่ยนเป็นการเดินเร็วๆ แทน ต่อให้ต้องเดินอ้อมก็คิดเสียว่าได้ออกกำลังกายขณะเดินชมสินค้า ได้ความเพลิดเพลินแถมยังสุขภาพดีเป็นของแถมอีกด้วย อีกทั้งการเดินยังทำให้คลายเครียดและรู้สึกสบายอีกด้วย
  1. นอนหัวค่ำ ตื่นแต่เช้า
การนอนหลับอย่างน้อย 7 ชั่วโมง ในตอนกลางคืน นอกจากจะทำให้ร่างกายสดชื่นจากการพักผ่อนเพียงพอแล้ว ยังช่วยให้ร่างกายควบคุมระดับน้ำตาลและควบคุมการสะสมของไขมันในเลือดด้วย จึงส่งผลต่อน้ำหนักตัวโดยตรง เคยมีคุณหมอเล่าให้ผมฟังว่า ตอนที่เราไม่นอนหรือนอนดึกมากๆ นั้น ทำให้เรารู้สึกหิว อันเกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายต้องการอาหารเพื่อใช้ทำกิจกรรมต่างๆ ที่มากขึ้น อันเป็นผลให้เกิดความอ้วนได้ในเวลาต่อมา นอกจากสุขภาพจะไม่ดีแล้วยังทำให้กิจกรรมในตอนกลางวันเป็นไปด้วยความไม่สดชื่นกระปรี้กระเปร่าอีกด้วย การนอนหลับที่เพียงพอ 7 ชั่วโมงนั้น มีเวลาที่เหมาะสมอยู่ในช่วง 22.00 – 01.00 น. ซึ่งเป็นเวลาเข้านอนที่ดีที่สุดตามหลักของนาฬิกาชีวิต โดยในช่วงแรกอาจจะต้องปรับตัวสักเล็กน้อย แต่ผ่านไป 2-3 วัน ร่างกายก็จะปรับได้ และทำต่อเนื่องจะรู้สึกได้เลยว่าร่างกายจะรู้สึกตื่นตัวในช่วงกลางวันและรู้สึกสุขภาพดีขึ้นด้วยครับ
  1. รับประทานอาหารให้ถูกวิธี
ในเมื่อเป็นหัวข้อของการดูแลสุขภาพสำหรับคนอ้วนแล้ว ผมจึงไม่แนะนำให้คุณต้องอดหรือลดอาหารเลย แต่การรับประทานอาหารที่ถูกเวลา ถูกวิธีต่างหาก ที่จะทำให้คุณสุขภาพดีขึ้นได้ แม้ทานเท่าเดิม โดยการรับประทานอาหารที่ดีนั้น ห้ามงดอาหารเช้าเด็ดขาด การงดอาหารเช้าทำให้ร่างกายขาดสารอาหารที่จะใช้ในชีวิตประจำวันทำให้ร่างกายดึงพลังงานที่สะสมไว้ในตับเพื่อใช้ในยามจำเป็นออกมา แต่สามารถใช้ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่นานก็หมด เพราะไม่มีสารอาหารเข้ามาให้พลังงาน จึงทำให้ร่างกายลดการเผาผลาญพลังงานลงเพื่อปรับสมดุล เมื่อมีอาหารมื้อต่อไปการเผาผลาญจึงทำได้ไม่ปกติจึงทำให้เกิดไขมันและคาร์โบไฮเดรตสะสม จึงทำให้คุณอ้วนขึ้นได้ ดังนั้นการรับประทานมื้อเช้าให้ตรงเวลาจึงเป็นผลดีมากกับคนอ้วน ส่วนเวลาในการรับประทานอาหารเย็นที่ดีนั้น ควรไม่ให้เกิน 18.00น. เพราะร่างกายเตรียมจะพักผ่อน และพักระบบการย่อยและเผาผลาญ โดยจะทำงานอีกก็เป็นวันใหม่ จึงทำให้สะสมและทำให้เกิดน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นตามมาอีกด้วย
สำหรับวิธีดูแลสุขภาพสำหรับคนอ้วน ทั้ง 5 ข้อนี้ เกิดจากทั้งการรวบรวมข้อมูลและทดลองทำด้วยตัวเอง ส่วนตัวจึงค่อนข้างมั่นใจว่าหากผู้อ่านได้ปฏิบัติตามอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นงานยุ่งไม่มีเวลา หรือ เหตุใดก็แล้วแต่ เรื่องง่ายๆ ทั้ง 5 ข้อเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่ปฏิบัติได้ง่ายและได้ผลจริงทั้งนั้น เพียงปรับเปลี่ยนเวลาในการดำเนินชีวิต เพิ่มกิจกรรมสักเล็กน้อย ปรับการรับประทานอาหาร และพักผ่อนให้เพียงพอ เพียงเท่านี้ไม่ว่าคุณจะน้ำหนักตัวเท่าใด คุณก็จะเป็นคนที่มีสุขภาพดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแน่นอน

     Runhigh Articles
adsfg
*ขอขอบคุณภาพประกอบจากภาพยนตร์ซีรี่ส์ชุด White Collar

5 เคล็ดลับความสำเร็จในการเขียนบทความ ที่คุณต้องรู้!

ถ้าจะพูดถึงเรื่องของการเขียนบทความให้ดีแล้ว หลายคนคงมีคำถามอยู่ในใจว่า บทความ ที่ดี บทความที่น่าสนใจ มีคนชื่นชอบต้องมีอะไรเป็นส่วนประกอบ หรือเป็นตัวกำหนดว่าดี   เพราะสิ่งเหล่านี้แหละเป็นตัวชี้วัดว่างานเขียนบทความของเราเป็นบทความที่ประสบความ สำเร็จ จากการที่ได้ศึกษาสอบถามผู้รู้และประสบการณ์ที่ผ่านมาแม้ไม่ได้มากมายอะไรนัก  แต่ก็เพียงพอที่จะตกผลึกมาเป็น เคล็ดลับ 5 ประการสู่ความสำเร็จในการเขียนบทความมาฝากทุกคนกันครับ






1. ชื่อเรื่องไม่ยาวจนเกินไป
คุณเคยเห็นพาดหัวข่าวที่ยาวมากๆ ในหนังสือพิมพ์ของสำนักพิมพ์สมัครเล่นบางฉบับหรือเปล่าครับ พาดหัวข่าว ก็เปรียบเสมือน หัวข้อ Topic หรือ ชื่อเรื่อง หากยาวเกินไปก็จะดูรก ไม่น่าอ่าน บทความด้านในยิ่งไม่ต้องพูดถึง หากหัวเรื่องไม่ผ่านแล้ว ผู้อ่านก็จะหมดความน่าสนใจในตัวบทความทันที เคล็ดลับก็คือ ชื่อเรื่องของ บทความที่ดีนั้นควรจะต้องมีความยาวอยู่ในช่วง 35 - 65 ตัวอักษร เป็นความยาวที่กำลังพอดี ไม่สั้นไม่ยาว เกินไป ยังอยู่ในระยะกวาดสายตาของผู้อ่านที่จะอ่านหัวเรื่องจนจบใน 2 วินาที ก่อนจะตัดสินใจเข้ามาอ่านครับ
2. เขียนให้สอดคล้องกับ Topic
คงไม่มีใครปฏิเสธว่าการเขียนบทความให้ตรงประเด็น หัวข้อ หรือ Topic ที่วางไว้นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเขียนบทความ เพราะหัวเรื่อง หรือ Topic นั้น ก็เปรียบเสมือนกับพาดหัวข่าว คนสนใจเข้ามาอ่าน ก็จาก Topic นั้นๆ แต่หากสิ่งที่อยู่ข้างใน ไม่ตรงประเด็น เช่น ข้อความขายของแบบไม่ลืมหูลืมตา ข้อความที่คัดลอก มาอย่าง  สะเปะสะปะไม่มีการเรียบเรียง หรือ พูดออกทะเลไปเรื่อย ออกห่างจากความน่าสนใจ ใน Topic แล้ว ก็คงไม่ใช่บทความที่น่าอ่านเท่าใดนัก และหากปรากฏชื่อผู้แต่งเข้าไปด้วยแล้ว ผู้คนก็จะจำชื่อของคุณไปเลย (ว่าจะไม่อ่าน) วิธีการก็คือ เขียนแผนผัง Mind Mapping ที่เกี่ยวข้องกับหัวเรื่องก่อนเริ่มเขียน เขียนการเชื่อมโยงต่างๆกับหัวเรื่อง เมื่อเรามีทิศทางในการเขียนบทความที่ชัดเจน นอกจากจะไม่สับสนเอง บทความของคุณก็จะเป็นบทความที่น่าอ่าน เข้าใจได้ง่ายและตรงประเด็นอีกด้วย
3. มีคำหลัก หรือ Keyword ที่เหมาะสม
การใช้คำหลัก หรือ Keyword ที่เหมาะสมนั้น ไม่ได้มีประโยชน์อยู่เพียงในการทำบทความ SEO เท่านั้น แต่การใช้คำหลักที่เหมาะสมนั้น ทำให้บทความมีตัวกำหนดทิศทาง เวลาอ่านผู้อ่านก็จะรู้สึกว่าอยู่ในเนื้อเรื่อง เวลาเขียนผู้เขียนก็จะไม่งงหลงประเด็น เหตุผลที่ผมใช้คำว่า "ที่เหมาะสม" เพราะถ้ามีมากเกินไป นอกจาก จะไม่มีความน่าสนใจแล้ว ความน่าเชื่อถือในตัวบทความก็จะหมดลงทันที เหมือนกับการขายของแบบไม่มีศิลปะ หรือ หากมีน้อยเกินไป ก็จะไม่มีประโยชน์ กลายเป็นคำธรรมดาในบทความ เหมือนเรือที่ไม่มีใบพาย ก็เลย ไม่ทราบว่า บทความนั้นจะสื่อถึงอะไร เคล็ดลับก็คือ อย่างน้อยที่สุดในบทนำ ควรมีคำหลักสัก 1-2 คำหลักในเนื้อเรื่องควรมี 3-4 คำหลัก และท่อนสรุปควรมีไว้สักคำก็พอ
4. มีสำนวนในเนื้อความ
สำนวนในที่นี่อาจไม่ได้หมายถึง สุภาษิต-คำพังเพย หรือ คำที่พ้องที่คล้องจองเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการใช้คำที่เหมาะสม สละสลวย ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์อีกด้วย เราอาจมีการเปรียบเทียบสิ่งที่คล้าย หรือ
ใกล้เคียงกันกับคำในข้อความ เช่น บ้านหลังใหญ่ราวกับพระราชวัง คนผู้นี้มีจิตใจที่เข้มแข็งดังเพชร ไม่มีที่ไปเหมือนเรือที่ขาดหางเสือ มีการพูดเปรียบเทียบให้เห็นภาพตามได้แม้ไม่มีภาพประกอบ เช่น
"มือของแม่ที่เหี่ยวแห้งดูไร้เรี่ยวแรง สั่นสะท้านไปกับลมหนาวที่พัดเข้ามาในบ้านไม้เก่า พร้อมเสียงเอียดอาดของไม้ผุๆที่พยายามจะต้านแรงลม ในยามดึกสงัดและเหน็บหนาวอย่างคืนนี้" จะทำให้เป็นข้อความที่ชวนอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้อ่านรู้ตัวอีกทีก็อ่านจบไปเสียแล้ว ยิ่งถ้าผู้อ่านจดจำชือผู้เขียนอย่างคุณ เขาก็จะติดตามผลงานการเขียน ของคุณต่อไปเรื่อยๆ นั่นเอง เคล็ดลับคือ อ่านหนังสือในเรื่องที่สนใจ หรือ จะเขียนเยอะๆ ลองหัดใช้คำต่างๆ เขียนลงในบทความของตนเอง แล้วให้ผู้รู้ช่วยกันติชมก็ได้
5. ใช้คำได้อย่างถูกต้อง
เคล็ดลับสุดท้ายนี้ คงหนีไม่พ้นการใช้คำให้ได้ถูกต้อง เหมาะสม กับรูปประโยค หรือ บทความ เพราะ ถ้าชื่อเรื่องน่าอ่าน เนื้อเรื่องดี มีสำนวน เพียงใด หากใช้คำที่ผิดพลาด ไม่เหมาะสม เขียนผิดอันเกิดจากกรณีใดๆ ไม่ว่าจะสะเพร่า หรือ ไม่ทันได้ตรวจทานก็ตาม ผู้อ่านไม่มีทางทราบว่าคุณอยู่ในสถานการณ์ใด สิ่งที่อยู่ต่อหน้า เขาเหล่านั้น คือ ข้อความหรือคำผิด ที่อาจทำให้ความหมายเปลี่ยน หรือ เข้าใจไปในอีกทิศทางหนึ่งทันที ทำให้บทความนั้นๆ รวมถึงตัวผู้เขียนเองหมดความน่าเชื่อถือไปโดยปริยาย แม้ผู้อ่านจะเข้าใจว่าความผิดพลาดอาจเกิด ขึ้นได้ และผู้อ่านที่ดีหลายท่านมักจะมองถึงประโยชน์ของบทความมากกว่ามานั่งจับผิดก็ตามแต่ แต่มันจะดีและ เป็นประโยชน์มากกว่า หากเรามีการใช้คำที่เหมาะสม ถูกต้อง ภาษาไม่วิบัติ (ภาษาอาจมีการลื่นไหลไปตามยุค สมัย บางคำก็เปลี่ยนวิธีการเขียนหรือการออกเสียง ภาษาวิบัติในที่นี่จึงหมายถึงการใช้คำผิดตามภาษาพูดอย่าง เด่นชัด เช่น ไปเป็นปาย เดี๋ยวเป็นเด๋ว)หรือไม่ใช้คำผิด เช่น อยาก-อย่า กับ-กลับ ประโยค-ประโยชน์ เป็นต้นคำทับศัพท์ต่างๆ เช่น Part-time ผิดเป็น Past-time หรือ Pass-time หรือ คำไทยๆ เช่น เครื่องราง ผิดเป็น เครื่องลาง เป็นต้น เคล็ดลับในข้อสุดท้ายนี้ อาจดูธรรมดา แต่ไม่ธรรมดา เพราะคุณจะไม่สามารถเป็น นักเขียนบทความที่มีความสำเร็จในงานเขียนบทความได้เลย หากยังเขียนผิดๆถูกๆอยู่ ปัญหาเล็กน้อยแต่ยิ่งใหญ่นี้สามารถแก้ได้ด้วยการ ตรวจทานให้ละเอียด มีสติ รอบคอบ และหมั่นสังเกต การใช้คำของบทความมาตรฐานของมืออาชีพครับ
สำหรับ "5 เคล็ดลับความสำเร็จในงานเขียนบทความที่คุณต้องรู้" นั้น พวกเราก็ได้ทราบกันไปทั้ง 5 เคล็ดลับแล้ว ตั้งแต่การตั้งชื่อเรื่อง การเขียน การใช้คำที่เหมาะสม และ มีสำนวน และหากผู้อ่านใส่ใจและ ตั้งใจใช้ เคล็ดลับทั้ง 5 ประการนี้ ในงานเขียนบทความ ผมรับรองได้เลยว่า ท่านจะต้องเป็นผู้ที่มีความสำเร็จในงานเขียนบทความ มีบทความคุณภาพ มีผู้ติดตามอ่านมากมายอย่างแน่นอน สุดท้ายนี้ ไม่ว่าทักษะในการเขียนของท่านจะอยู่กันในระดับใด อยากให้เปิดใจรับความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ คำติ-ชม อย่างใจกว้าง เพราะผมเชื่อว่าวงการนี้ ไม่มีใครเลยที่จะเก่งที่สุด แต่คนที่หมั่นพัฒนาตนเองที่สุดต่างหาก ที่จะมีงานเขียนบทความที่ประสบความสำเร็จได้ครับ
        Runhigh Articles
adsfg